รูปแบบการทำงานแบบกระจายอำนาจ (decentralized) ของ Mercurial อาจทำให้ผู้ใช้ใหม่หลายๆคนงง หน้านี้พยายามที่จะอธิบายคอนเซ็ปต์พื้นฐานต่างๆเพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดู[:ThaiTutorial:บทเรียน]สำหรับขั้นตอนแบบละเอียด

(คำแปล: [:BrazilianPortugueseUnderstandingMercurial:ภาษาโปรตุเกสบราซิล], [:ChineseUnderstandingMercurial:ภาษาจีน], [:FrenchUnderstandingMercurial:ภาษาฝรั่งเศษ], [:GermanUnderstandingMercurial:ภาษาเยอรมัน], [:ItalianUnderstandingMercurial:ภาษาอิตาลี], [:JapaneseUnderstandingMercurial:ภาษาญี่ปุ่น], [:KoreanUnderstandingMercurial:ภาษาเกาหลี], [:RussianUnderstandingMercurial:ภาษารัสเซีย], [:SpanishUnderstandingMercurial:ภาษาสเปน] )

สารบัญ

อะไรอยู่ใน Repository

[:Repository:repository] ของ Mercurial ประกอบไปด้วย[:WorkingDirectory:ไดเร็คทอรี่ทำงาน]กับ store:

store คือที่เก็บประวัติทั้งหมดของโปรเจค ความแตกต่างของ Mercurial จาก [:SCM:SCMs] ทั่วไปก็คือปกติแล้ว SCM อื่นๆจะเก็บประวัติทั้งหมดไว้ที่ศูนย์กลางที่เดียว แต่ใน Mercurial ทุกๆไดเร็คทอรี่ทำงาน (working directory) จะมีประวัติเหล่านี้พ่วงมาด้วยเหมือนเป็นสำเนาส่วนตัว การทำแบบนี้จะทำให้สามารถทำงานขนานกันไปได้

ไดเร็คทอรี่ทำงานจะถือสำเนาของไฟล์ต่างๆ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง (เช่น การแก้ไขหรือที่เรียกว่า rev ครั้งที่ 2 เป็นต้น) ซึ่งคุณก็สามารถแก้ไขไฟล์ในไดเร็คทอรี่ได้ และเนื่องจากว่า[:Tag:ป้ายกำกับ (tags)]และ[:.hgignore:ไฟล์ที่ถูกเพิกเฉย (ignored files)]ก็ถูกเก็บประวัติด้วย ทั้งสองก็ถูกเก็บอยู่ใน repository เช่นกัน

การคอมมิท(บันทึก) การแก้ไข

เมื่อคุณ[:Commit:คอมมิท]การแก้ไข ไฟล์ที่อยู่ในไดเร็คทอรี่ทำงานของคุณจะถูกเก็บเป็น [:ChangeSet:changeset] ใหม่ (หรือจะเรียกว่า "[:Revision:revision]" ใหม่ก็ได้) โดยมี[:Parent:บรรพบุรุษ]เป็นบรรพบุรุษของไดเร็คทอรี่ทำงานในขณะนั้น:

สังเกตุว่าในรูปภาพ revision 4 เป็น [:Branch:branch] ของ revision 2 ซึ่งเป็น revision ในไดเร็คทอรี่ทำงาน หลังจากคอมมิท revision 4 จะกลายเป็น บรรพบุรุษ ของไดเร็คทอรี่ทำงานแทน

Revisions, Changesets, Heads, และ Tip

Mercurial รวมการแก้ไขในหลายๆไฟล์ไว้ด้วยกันเป็นกลุ่มเพื่อที่จะคอมมิทเป็น [:ChangeSet:changeset] หรือเรียกอีกชื่อนึงได้ว่า revision ของโปรเจค แต่ละ revision ก็จะมีตัวเลขเป็นตัวแทนเรียกว่า [:RevisionNumber:revision number] ซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ และเนื่องจากว่า Mercurial อนุญาติให้ผู้ใช้หลายๆคนทำงานขนานกันในหลายๆ repository ตัวเลข revision number ของผู้ใช้แต่ละคนอาจไม่ตรงกัน Mercurial จึงให้ตัวเลขอีกตัวเลขนึงเป็นตัวแทนของแต่ละ changset ในทุกๆ repository ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขฐานสิบหกยาว 40 หลักเรียกว่า [:ChangeSetID:changeset ID] และสามารถถูกย่อได้ตราบใดที่บ่งบอกถึง changeset ที่ไม่กำกวมเช่น "e38487"

การ branch และ[:Merge:รวมการแก้ไข]สามารถเกิดขึ้นตรงจุดใดก็ได้ในประวัติการแก้ไข แต่ละ branch ที่ยังไม่ได้ถูกรวมจะสร้างสิ่งที่เรียกว่า [:Head:head] ใหม่ในประวัติการแก้ไข ในรูปภาพด้านบน revisions 5 และ 6 คือ head แต่ Mercurial ให้ความหมายของ revision 6 ว่าเป็น[:Tip:ปลาย]ของ repository ด้วยเพราะว่าเป็น head ที่มีตัวเลข revision number สูงที่สุด Revision 4 เรียกว่า [:MergeChangeset:merge changeset] เพราะว่าเป็น changeset ที่เกิดจากการรวมของ changeset สอง อันทีเป็นบรรพบุรุษ (คือ revisions 2 และ 3)

การทำสำเนา, แก้ไข, รวมการแก้ไข, ดึงการแก้ไข และอัพเดท

สมมุติว่าเรามีผู้ใช้คนนึงชื่ออลิซ ซึ่งมี repository แบบนี้:

บ๊อบ[:Clone:ทำสำเนา] repository ของอลิซเป็น repository ส่วนตัวของตัวเองที่เป็นเอกเทศจากตัวต้นแบบของอลิซ และก็มีไฟล์ของเวอร์ชั่นปลายซึ่งก็คือ revision d ในไดเร็คทอรี่ทำงานของเขา:

ตอนนี้บ๊อบสามารถทำงานได้เป็นอิสระจากอลิซ บ๊อบทำการแก้ไขและ[:Commit:คอมมิท]การแก้ไขสองครั้งคือ e และ f:

ในขณะเดียวกันอลิซก็ทำการแก้ไข g เช่นกัน ทำให้ประวัติการแก้ไขใน repository ของเธอแตกแขนงออกไปจากของบ๊อบและทำให้เกิด [:Branch:branch] ขึ้น:

บ๊อบจึง[:Pull:ดึงการแก้ไข]จาก repository ของอลิซเพื่อทำให้ประวัติการแก้ไขตรงกัน การทำเช่นนี้จะคัดลอกการแก้ไขที่อลิซทำทั้งหมดมาไว้ใน repository ของบ๊อบ (ในตัวอย่างนี้คือแค่การแก้ไข g) สังเกตุว่าไดเร็คทอรี่ทำงานของบ๊อบจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงจากการดึงการแก้ไขครั้งนี้:

และเนื่องจากว่าการแก้ไข g ของอลิซกลายเป็น head ใหม่ใน repository ของบ๊อบมันเลยกลายเป็น ปลาย ของ repository ด้วย

จากนั้นบ๊อบก็ทำการ[:Merge:รวมการแก้ไข]ซึ่งก็คือการรวมการแก้ไขล่าสุดของเขา (f) กับปลายของ repository หลังจากการรวม ไดเร็คทอรี่ทำงานของเค้าก็จะมีบรรพบุรุษ 2 revisions คือ f และ g:

หลังจากตรวจสอบดูว่าการรวมการแก้ไขในไดเร็คทอรี่ทำงานของเขาเป็นไปด้วยดีไม่มีอะไรผิดพลาด บ๊อบก็คอมมิทและสร้าง [:MergeChangeset:merge changeset] ใหม่คือ h ใน store ของ repository เขา:

ตอนนี้ถ้าอลิซดึงการแก้ไขจากบ๊อบ เธอจะเห็นประวัติการแก้ไขจากบ๊อบคือ e, f, และ h ใน store ของเธอด้วย:

สังเกตุว่าไดเร็คทอรี่ทำงานของอลิซไม่ถูกเปลี่ยนเนื่องจากการดึงการแก้ไข เธอจะต้องทำการ[:Update:อัพเดท]เพื่อทำให้ไดเร็คทอรี่ทำงานมีเนื้อหาตรงกับ changset h การอัพเดทจะทำให้บรรพบุรุษของไดเร็คทอรี่ทำงานเปลี่ยนเป็น changeset h และทำให้เนื้อหาของไฟล์ในไดเร็คทอรี่ทำงานตรงกับเนื้อหาของ revision h.

ถึงตอนนี้ทั้งอลิซและบ๊อบมีทั้งประวัติการแก้ไขและเนื้อหาในไดเร็คทอรี่ทำงานตรงกันอีกครั้ง

ระบบการทำงานแบบแยกศูนย์

Mercurial เป็นระบบที่ทำงานแบบแยกศูนย์ จึงไม่มีการกำหนดความหมายพิเศษสำหรับ repository กลาง ผู้ใช้มีสิทธิ์เลือกโครงสร้างของ repository ต่างๆได้ตามต้องการ (ดู CommunicatingChanges):

ต่างจากระบบเวอร์ชั่นคอนโทรลแบบรวมศูนย์อื่นๆซึ่งการแก้ไขเพื่อทดลองอะไรๆ อาจก่อให้เกิดปัญหา ระบบ DVCS อย่าง Mercurial สามารถทำให้คุณทดลองได้อย่างง่ายดายโดยการทำสำเนาของ repository และก็เริ่มแก้ไขได้เลย ถ้าการแก้ไขเป็นไปได้ด้วยดี คุณก็แค่ push ไปที่ repository อื่น แต่ถ้าคุณไม่ชอบก็ลบ repository ทิ้งและลองวิธีอื่นแทน

Mercurial ทำอะไรไม่ได้บ้าง?

ผู้ใช้ SVN/CVS หลายคนคาดหวังว่าจะเก็บหลายๆโปรเจคไว้ใน repository เดียว แต่ Mercurial ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการใช้แบบนี้ซักเท่าไร เพราะฉะนั้นคุณอาจจะอยากลองเปลี่ยนวิธีการทำงานของคุณดู เหตุผลก็คือคุณไม่สามารถดึงแค่ไดเร็คทอรี่ใดไดเร็คทอรี่หนึ่งมาจาก repository ของ Mercurial ได้ แต่ถ้าคุณต้องการเก็บหลายๆโปรเจคในจริงๆคุณอาจจะอยากลองศึกษาดู ForestExtension

สำหรับการแนะนำเกี่ยวกับวิธีการใช้งาน Mercurial แบบมีตัวอย่างลองดู[:ThaiTutorial:บทเรียนการใช้งาน Mercurial]