Size: 13961
Comment: Translate TutorialFirstChange to Thai
|
← Revision 5 as of 2009-05-19 19:31:05 ⇥
Size: 14914
Comment: converted to 1.6 markup
|
Deletions are marked like this. | Additions are marked like this. |
Line 3: | Line 3: |
''(หน้านี้เป็นหน้าที่ 4 จาก 9 ของ[:Tutorial:บทเรียน]การใช้งาน Mercurial หน้าก่อนหน้าคือ [:ThaiTutorialHistory], หน้าถัดไปคือ [:ThaiTutorialShareChange])'' ต่อจาก ThaiTutorialHistory ตอนนี้เราอยู่ใน `my-hello` repository ที่เราทำสำเนามาตอน ThaiTutorialClone. วิธีการใช้ Mercurial สำหรับพัฒนาโปรแกรมที่ดีก็คือการแยกการแก้ไขที่เกี่ยวข้องกันออกมาเป็น [:Repository:repository] ต่างหาก (ดู [:WorkingPractices]) การทำแบบนี้จะช่วยให้การแก้ไขเรื่องต่างๆกันไม่มาปนกันอยู่ใน repository เดียวและทำให้ง่ายต่อการทดสอบ เรามาลองเริ่มแก้ไขโดยใช้วิธีนี้กันดู จุดประสงค์(อันยิ่งใหญ่)ของเราก็คือ...ให้โปรแกรม "hello, world" เราพิมพ์ผลลัพธ์เพิ่มอีกบรรทัดนึง ก่อนอื่นให้เราสร้าง repository ใหม่ชื่อ `my-hello-new-output` โดย[:Clone:ทำสำเนา]จาก `my-hello` (ผลลัพธ์ที่แสดงมาจาก Mercurial 1.0): |
''(บทนี้เป็นบทที่ 4 จาก 9 บทของ[[ThaiTutorial|บทเรียนการใช้งาน Mercurial]] บทก่อนหน้าคือ [[ThaiTutorialHistory|ดูประวัติการแก้ไขใน repository]], บทถัดไปคือ [[ThaiTutorialShareChange|แบ่งปันสิ่งที่คุณแก้ไขกับ repository อื่น]])'' ต่อจาก[[ThaiTutorialHistory|บทที่แล้ว]] ตอนนี้เราอยู่ใน repository `my-hello` ที่เราเพิ่งทำสำเนามาใน[[ThaiTutorialClone|บทที่ 2]] วิธีการใช้ Mercurial ที่ดีสำหรับการพัฒนาโปรแกรมก็คือการแยกการแก้ไขที่เกี่ยวข้องกันออกมาเป็น [[Repository|repository]] ต่างหาก (ดู [[WorkingPractices]]) การทำแบบนี้จะช่วยให้การแก้ไขเรื่องต่างๆกันไม่มาปนกันอยู่ใน repository เดียวและทำให้ง่ายต่อการทดสอบ เรามาลองเริ่มแก้ไขโดยใช้วิธีนี้กันดู จุดประสงค์(อันยิ่งใหญ่)ของเราก็คือ...ให้โปรแกรม "hello, world" เราพิมพ์ผลลัพธ์เพิ่มอีกบรรทัดนึง ก่อนอื่นให้เราสร้าง repository ใหม่ชื่อ `my-hello-new-output` โดย[[Clone|ทำสำเนา]]จาก `my-hello` (ผลลัพธ์ที่ได้มาจาก Mercurial 1.0): |
Line 17: | Line 17: |
สังเกตุว่าเราได้ตั้งชื่อสำหรับ repository ใหม่ด้วยชื่อที่สื่อความหมายเพื่อบ่งบอกว่าเราจะใช้ repository ใหม่นี้เพื่ออะไร เนื่องจากว่าการทำสำเนาใน Mercurial นั้นง่ายมากเราอาจจะทำสำเนา repository ต่างๆมากมายระหว่างการทำงาน ถ้าเราไม่ตั้งชื่อ repository เหล่านี้ให้ดี เราอาจจะลืมได้ว่า repository แต่ละอันมีไว้เพื่ออะไร (ดู RepositoryNaming) โอเค ถึงเวลาที่เราจะทำการแก้ไขใน repository ใหม่ล่ะ เข้าไปใน[:WorkingDirectory:ไดเร็คทอรี่ทำงาน] (working directory) ของ repository ซึ่งเป็นชื่อเรียกสั้นๆสำหรับไดเร็คทอรี่ที่มีไฟล์อยู่นั่นแหละ จากนั้นก็แก้ไขซอร์สโค้ดด้วย text editor ตัวโปรดของคุณ: |
สังเกตุว่าเราได้ตั้งชื่อสำหรับ repository ใหม่ด้วยชื่อที่สื่อความหมายเพื่อบ่งบอกว่าเราจะใช้ repository ใหม่นี้เพื่ออะไร เนื่องจากว่าการทำสำเนาใน Mercurial นั้นง่ายมากเราอาจจะทำสำเนา repository ต่างๆมากมายระหว่างการทำงาน ถ้าเราไม่ตั้งชื่อ repository ให้ดีๆเราอาจจะลืมได้ว่า repository แต่ละอันมีไว้เพื่ออะไร (ดู RepositoryNaming) โอเค ถึงเวลาที่เราจะทำการแก้ไขใน repository ใหม่ล่ะ เข้าไปใน[[WorkingDirectory|ไดเร็คทอรี่สำหรับใช้ทำงาน]]ของ repository จากนั้นก็แก้ไขซอร์สโค้ดด้วยโปรแกรมตัวโปรดของคุณ: |
Line 60: | Line 60: |
หลังจากแก้ไขเสร็จก็ออกจาก editor ของเราก็เรียบร้อย เราพร้อมที่จะสร้าง [:ChangeSet:changeset] ใหม่แล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดมีคนมาขัดจังหวะแล้วเราดันลืมไปว่าอะไรบ้างที่ถูกแก้ไขที่จะอยู่ใน changeset ล่ะ? คำตอบอยู่ในคำสั่ง `status` |
หลังจากแก้ไขเสร็จก็บันทึกไฟล์และออกจากโปรแกรมของเรา ตอนนี้เราก็พร้อมที่จะสร้าง[[ChangeSet|เซ็ตการแก้ไข]]ใหม่แล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดมีคนมาขัดจังหวะแล้วเราดันลืมไปว่าอะไรจะถูกคอมมิทไปบ้างล่ะ? ไม่ต้องห่วง เพราะเรายังมีคำสั่ง `status` |
Line 69: | Line 69: |
ผลลัพธ์จากคำสั่งนั้นสั้นๆ ตัวอักษร `M` บอกเราว่าไฟล์ `hello.c` ได้ถูกแก้ไข (modified) และการแก้ไขนี้ก็พร้อมที่จะเข้าไปอยู่ใน changeset แล้ว ถ้าคุณขี้เกียจพิมพ์คำสั่งยาวๆแบบ `hg status` ก็สามารถใช้คำสั่งสั้นๆ `hg st` แทนเพราะ Mercurial อนุญาติให้เราย่อคำสั่งได้ถ้าคำสั่งที่ย่อลงนั้นไม่กำกวมเวลา Mercurial แปลความหมาย |
ผลลัพธ์จากคำสั่งแค่สั้นๆ ตัวอักษร `M` บอกเราว่าไฟล์ `hello.c` ได้ถูกแก้ไข (modified) และการแก้ไขนี้จะอยู่ในเซ็ตการแก้ไขเมื่อเราคอมมิท ถ้าคุณขี้เกียจพิมพ์คำสั่งยาวๆแบบ `hg status` ก็สามารถใช้คำสั่งแบบย่อ `hg st` ได้เพราะ Mercurial อนุญาติให้เราย่อคำสั่งได้ตราบใดที่พอย่อแล้วไม่กำกวมสำหรับ Mercurial |
Line 78: | Line 78: |
หรือเราอาจจะอยากดูเนื้อหาที่ถูกแก้ไขโดยใช้คำสั่ง `diff`: | ถ้าเราอาจจะอยากดูว่ามีอะไรถูกแก้ไขไปบ้างก็ใช้คำสั่ง `diff`: |
Line 94: | Line 94: |
<!> ในกรณีที่เราอยากยกเลิกสิ่งที่เราแก้ไขและเริ่มต้นใหม่ เราสามารถใช้คำสั่ง `revert` เพื่อดึงไฟล์ `hello.c` ก่อนที่จะถูกแก้ไขกลับมาได้ (หรือจะใช้ตัวเลือก `--all` เพื่อดึงเวอร์ชั่นก่อนแก้ไขของทุกๆไฟล์กลับมา) เช็คให้แน่ใจก่อนล่ะว่านี่เป็นสิ่งที่คุณอยากทำจริงๆ (ดู [:Revert]). | <!> ในกรณีที่เราอยากยกเลิกสิ่งที่เราแก้ไขและเริ่มต้นใหม่เราสามารถใช้คำสั่ง `revert` เพื่อดึงไฟล์ `hello.c` ก่อนที่จะถูกแก้ไขกลับมาได้ (หรือจะใช้ตัวเลือก `--all` เพื่อดึงเวอร์ชั่นก่อนแก้ไขของทุกๆไฟล์กลับมา) เช็คให้แน่ใจก่อนล่ะว่านี่เป็นสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ (ดู [[Revert]]). |
Line 100: | Line 100: |
`revert` เปลี่ยนชื่อไฟล์ที่ถูกแก้ไขจาก `hello.c` เป็น `hello.c.orig` และกู้ไฟล์ `hello.c` ก่อนที่จะถูกแก้ไขกลับมาแทน หลังการยกเลิกการแก้ไข คำสั่ง `status` ก็แสดงสถานะของไฟล์ `hello.c.orig` ว่าเป็นไฟล์ที่ไม่ถูกติดตามโดย Mercurial ล่ะ (นำหน้าด้วยเครื่องหมาย "?"). |
คำสั่ง `revert` จะเปลี่ยนชื่อไฟล์ที่ถูกแก้ไขจาก `hello.c` เป็น `hello.c.orig` และกู้ไฟล์ `hello.c` เวอร์ชั่นก่อนที่จะถูกแก้ไขกลับมาแทน และเมื่อเรายกเลิกการแก้ไขคำสั่ง `status` จะแสดงสถานะของไฟล์ `hello.c.orig` ว่าเป็นไฟล์ที่ไม่ถูกเก็บประวัติโดย Mercurial (โดยแสดงเครื่องหมาย "?" นำหน้าชื่อไฟล์) |
Line 109: | Line 109: |
ถ้าเราเกิดเปลี่ยนใจและอยากใช้ไฟล์ที่เราเพิ่งแก้ไป ก็แค่ลบไฟล์ `hello.c` ทิ้งและเปลี่ยนชื่อไฟล์ `hello.c.orig` เป็น `hello.c` เท่านี้ก็เรียบร้อย | ถ้าเราเกิดเปลี่ยนใจและอยากใช้ไฟล์ที่เราเพิ่งแก้ไปก็แค่ลบไฟล์ `hello.c` ทิ้งและเปลี่ยนชื่อไฟล์ `hello.c.orig` เป็น `hello.c` เท่านี้ก็เรียบร้อย |
Line 118: | Line 118: |
การสร้าง changeset มีชื่อเรียกอีกชื่อนึงว่าการ [:Commit:คอมมิท] changeset | การสร้างเซ็ตการแก้ไขมีชื่อเรียกอีกชื่อนึงว่าการ[[Commit|คอมมิท]]เซ็ตการแก้ไขนั้น |
Line 120: | Line 120: |
คำสั่ง `commit` นี้มีชื่อย่อสั้นๆว่า: `ci` ("check in"), เพราะงั้นเราสามารถใช้คำสั่งแบบย่อนี้ได้: |
คำสั่ง `commit` นี้มีชื่อย่อว่า: `ci` ("check in"), เพราะฉะนั้นเราสามารถใช้คำสั่งแบบย่อนี้ได้: |
Line 127: | Line 127: |
คำสั่งนี้จะเปิด editor ขึ้นมาพร้อมกับบรรทัดแปลกๆสองสามบรรทัด ''หมายเหตุ:'' editor ที่ Mercurial ใช้โดยปกติคือ `vi` แต่เราสามารถเปลี่ยนค่าได้โดยเซ็ตตัวแปร environment ที่ชื่อ `EDITOR` หรือ [:HGEDITOR] |
คำสั่งนี้จะเปิดโปรแกรม editor ขึ้นมาพร้อมกับบรรทัดแปลกๆสองสามบรรทัด ''หมายเหตุ:'' โปรแกรม editor ที่ Mercurial ใช้โดยปกติคือ `vi` แต่เราสามารถเปลี่ยนค่านี้ได้ได้โดยตั้งค่าตัวแปร environment ที่ชื่อ `EDITOR` หรือ [[HGEDITOR]] |
Line 140: | Line 140: |
บรรทัดแรกของ editor จะเป็นบรรทัดว่างๆ ไว้ให้เราใส่คำอธิบายของ changeset นี้ ส่วนบรรทัดต่อๆไปก็จะบอกชื่อผู้ใช้ ชื่อ branch และไฟล์ต่างๆที่อยู่ใน changeset นี้ ปกติชื่อของ branch คือ "default" (ดู NamedBranches) Mercurial เอาค่า "user" มาจากไฟล์การตั้งค่า {{{~/.hgrc}}} ภายใต้ค่าที่ชื่อ "username" ของส่วน "ui" (ดู [http://www.selenic.com/mercurial/hgrc.5.html#ui hgrc(5)]) แต่เราก็สามารถระบุชื่อผู้ใช้ของเราเองได้โดยใช้ตัวเลือก -u (ดู `hg help ci` หรือ [http://www.selenic.com/mercurial/hg.1.html#commit hg.1.html#commit]) เพื่อที่จะคอมมิท changeset เราจะต้องใส่คำอธิบาย (ดู [:ChangeSetComments]) ลองพิมพ์อะไรประมาณนี้ดู: |
บรรทัดแรกของ editor จะเป็นบรรทัดว่างๆ ไว้ให้เราใส่คำอธิบายของเซ็ตการแก้ไขนี้ ส่วนบรรทัดต่อๆไปก็จะบอกชื่อผู้ใช้ ชื่อกิ่งของไดเร็คทอรี่สำหรับใช้งาน และไฟล์ต่างๆที่จะถูกคอมมิทในไดเร็คทอรี่สำหรับใช้ทำงานนี้ ปกติชื่อของกิ่งคือ "default" (ดู NamedBranches) Mercurial เอาค่า "user" มาจากไฟล์ {{{~/.hgrc}}} จากค่าของ "username" ในส่วน "ui" (ดู [[http://www.selenic.com/mercurial/hgrc.5.html#ui|hgrc(5)]]) เราสามารถระบุชื่อผู้ใช้ได้เองโดยใช้ตัวเลือก -u (ดู `hg help ci` หรือ [[http://www.selenic.com/mercurial/hg.1.html#commit|hg.1.html#commit]]) เราจะต้องใส่คำอธิบายเพื่อที่จะคอมมิทเซ็ตการแก้ไขแต่ละเซ็ต (ดู [[ChangeSetComments]]) ลองพิมพ์อะไรประมาณนี้ดู: |
Line 155: | Line 155: |
หลังจากใส่คำอธิบายเราก็บันทึกและปิด editor ซะและถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีคำสั่ง `commit` จะจบการทำงานโดยไม่พิพม์ผลลัพธ์ใดๆออกมา <!> ถ้าคุณออกจาก editor โดยที่ไม่ได้บันทึกหรือไม่ได้พิมพ์คำอธิบายใดๆ คำสั่ง `commit` จะยกเลิกการคอมมิทนั้น ทั้งนี้เพื่อให้คุณสามารถเปลี่ยนใจไม่คอมมิทการแก้ไขของคุณได้ ทีนี้ลองมาดูว่าหลังจากคอมมิทคำสั่ง {{{status}}} จะบอกอะไรกับเรานะ? {{{ $ hg st }}} ไม่มีอะไรเลย! สิ่งที่เราแก้ไขได้ถูกคอมมิทเป็น changeset แล้วเพราะฉะนั้นจึงไม่มีไฟล์ใดๆที่ถูกแก้และยังไม่ได้ถูกคอมมิท และ[:Tip:ปลาย] repository ของเราก็ตรงกับไดเร็คทอรี่ทำงานด้วย นอกจากนั้นคำสั่ง [:Parent:parents] บอกกับเราว่าไดเร็คทอรี่ทำงานของ repository เราตรงกับ changeset ที่ถูกคอมมิทล่าสุดแล้ว (ดู [:Update]) ด้วย (ในที่นี้เรามีแค่บรรพบุรุษอันเดียว ซึ่งก็เป็นกรณีปกติหลังจากคอมมิท เราจะเห็นบรรพบุรุษสองอันใน ThaiTutorialMerge): |
จากนั้นเราต้องบันทึกและปิดโปรแกรม editor ซะและถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีคำสั่ง `commit` จะจบการทำงานโดยไม่พิมพ์ผลลัพธ์ใดๆออกมา <!> ถ้าคุณออกจากโปรแกรม editor โดยที่ยังไม่ได้บันทึกหรือพิมพ์คำอธิบายใดๆ คำสั่ง `commit` จะยกเลิกการคอมมิท ทั้งนี้เพื่อให้คุณสามารถเปลี่ยนใจไม่คอมมิทการแก้ไขของคุณได้ ลองมาดูว่าหลังจากคอมมิทแล้วคำสั่ง {{{status}}} จะบอกอะไรกับเรานะ? {{{ $ hg st }}} ไม่มีอะไรเลย! สิ่งที่เราแก้ไขได้ถูกคอมมิทเป็นเซ็ตการแก้ไขแล้วเพราะฉะนั้นจึงไม่มีไฟล์ใดๆที่ถูกแก้และยังไม่ได้ถูกคอมมิท นอกจากนั้น[[Tip|ส่วนปลาย]]ของ repository ของเราก็ตรงกับไดเร็คทอรี่สำหรับใช้ทำงานแล้วด้วย เรายังสามารถใช้คำสั่ง [[Parent|parents]] เพื่อดูว่าไดเร็คทอรี่สำหรับใช้ทำงานของเราก็ตรงกับเซ็ทการแก้ไขที่ถูกคอมมิทล่าสุดแล้วเช่นกัน (ลองดู [[Update]] ด้วย) (ในกรณีนี้เรามีบรรพบุรุษแค่อันเดียวซึ่งก็เป็นปกติหลังจากคอมมิท เราจะได้เห็นบรรพบุรุษสองอันในบท[[ThaiTutorialMerge|รวมประวัติการแก้ไขที่ขัดแย้งกัน]]): |
Line 178: | Line 178: |
เท่านี้ล่ะ! เราได้คอมมิท changeset ใหม่เข้าไปใน repository เรียบร้อยแล้ว เราสามารถดูประวัติการแก้ไขของเราได้: |
โอเค! เราได้คอมมิทเซ็ตการแก้ไขใหม่เข้าไปใน repository เรียบร้อยแล้ว ลองมาดูประวัติการแก้ไขของเรากัน: |
Line 192: | Line 192: |
''หมายเหตุ:'' ชื่อผู้ใช้, วันที่, และ [:ChangeSetID:changeset ID] อาจต่างกันไปได้จากที่คุณทดลอง จากที่เราได้เรียนใน [:ThaiTutorialClone] changeset ใหม่นี้จะอยู่แค่ใน repository นี้เท่านั้น ข้อเท็จจริงนี้นี้เป็นส่วนสำคัญมากในการเข้าใจการทำงานของ Mercurial ถ้าเราต้องการแบ่งปันการแก้ไขนี้ เราจะต้องอ่านต่อที่ ThaiTutorialShareChange |
''หมายเหตุ:'' ชื่อผู้ใช้, วันที่, และ [[ChangeSetID|รหัสประจำเซ็ตการแก้ไข]]อาจต่างไปในเครื่องของคุณ จากที่เราได้เรียนในบท [[ThaiTutorialClone|ทำสำเนา repository ที่มีอยู่]] เราจะเห็นว่าเซ็ตการแก้ไขใหม่นี้จะอยู่แค่ใน repository นี้เท่านั้น จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญมากในการทำความเข้าใจการทำงานของ Mercurial อ่านบทต่อไปได้เลยเพื่อ [[ThaiTutorialShareChange|แบ่งปันสิ่งที่เราแก้ไขกับ repository อื่น]] |
Line 200: | Line 200: |
CategoryThai |
บทเรียน - ทำการแก้ไขแรก
(บทนี้เป็นบทที่ 4 จาก 9 บทของบทเรียนการใช้งาน Mercurial บทก่อนหน้าคือ ดูประวัติการแก้ไขใน repository, บทถัดไปคือ แบ่งปันสิ่งที่คุณแก้ไขกับ repository อื่น)
ต่อจากบทที่แล้ว ตอนนี้เราอยู่ใน repository my-hello ที่เราเพิ่งทำสำเนามาในบทที่ 2
วิธีการใช้ Mercurial ที่ดีสำหรับการพัฒนาโปรแกรมก็คือการแยกการแก้ไขที่เกี่ยวข้องกันออกมาเป็น repository ต่างหาก (ดู WorkingPractices) การทำแบบนี้จะช่วยให้การแก้ไขเรื่องต่างๆกันไม่มาปนกันอยู่ใน repository เดียวและทำให้ง่ายต่อการทดสอบ เรามาลองเริ่มแก้ไขโดยใช้วิธีนี้กันดู
จุดประสงค์(อันยิ่งใหญ่)ของเราก็คือ...ให้โปรแกรม "hello, world" เราพิมพ์ผลลัพธ์เพิ่มอีกบรรทัดนึง ก่อนอื่นให้เราสร้าง repository ใหม่ชื่อ my-hello-new-output โดยทำสำเนาจาก my-hello (ผลลัพธ์ที่ได้มาจาก Mercurial 1.0):
$ hg clone my-hello my-hello-new-output updating working directory 2 files updated, 0 files merged, 0 files removed, 0 files unresolved
สังเกตุว่าเราได้ตั้งชื่อสำหรับ repository ใหม่ด้วยชื่อที่สื่อความหมายเพื่อบ่งบอกว่าเราจะใช้ repository ใหม่นี้เพื่ออะไร เนื่องจากว่าการทำสำเนาใน Mercurial นั้นง่ายมากเราอาจจะทำสำเนา repository ต่างๆมากมายระหว่างการทำงาน ถ้าเราไม่ตั้งชื่อ repository ให้ดีๆเราอาจจะลืมได้ว่า repository แต่ละอันมีไว้เพื่ออะไร (ดู RepositoryNaming)
โอเค ถึงเวลาที่เราจะทำการแก้ไขใน repository ใหม่ล่ะ เข้าไปในไดเร็คทอรี่สำหรับใช้ทำงานของ repository จากนั้นก็แก้ไขซอร์สโค้ดด้วยโปรแกรมตัวโปรดของคุณ:
$ cd my-hello-new-output $ vi hello.c
เนื้อหาเริ่มต้นของ hello.c เป็นแบบนี้:
/*
* hello.c
*
* Placed in the public domain by Bryan O'Sullivan
*
* This program is not covered by patents in the United States or other
* countries.
*/
#include <stdio.h>
int main(int argc, char **argv)
{
printf("hello, world!\n");
return 0;
}
เรามาแก้ main ให้พิมพ์ข้อความอีกบรรทัดนึงกันเถอะ:
(...)
int main(int argc, char **argv)
{
printf("hello, world!\n");
printf("sure am glad I'm using Mercurial!\n");
return 0;
}
หลังจากแก้ไขเสร็จก็บันทึกไฟล์และออกจากโปรแกรมของเรา ตอนนี้เราก็พร้อมที่จะสร้างเซ็ตการแก้ไขใหม่แล้ว
แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดมีคนมาขัดจังหวะแล้วเราดันลืมไปว่าอะไรจะถูกคอมมิทไปบ้างล่ะ? ไม่ต้องห่วง เพราะเรายังมีคำสั่ง status
$ hg status M hello.c
ผลลัพธ์จากคำสั่งแค่สั้นๆ ตัวอักษร M บอกเราว่าไฟล์ hello.c ได้ถูกแก้ไข (modified) และการแก้ไขนี้จะอยู่ในเซ็ตการแก้ไขเมื่อเราคอมมิท
ถ้าคุณขี้เกียจพิมพ์คำสั่งยาวๆแบบ hg status ก็สามารถใช้คำสั่งแบบย่อ hg st ได้เพราะ Mercurial อนุญาติให้เราย่อคำสั่งได้ตราบใดที่พอย่อแล้วไม่กำกวมสำหรับ Mercurial
$ hg st M hello.c
ถ้าเราอาจจะอยากดูว่ามีอะไรถูกแก้ไขไปบ้างก็ใช้คำสั่ง diff:
$ hg diff diff -r 82e55d328c8c hello.c --- a/hello.c Fri Aug 26 01:21:28 2005 -0700 +++ b/hello.c Mon May 05 00:27:56 2008 +0200 @@ -12,5 +12,6 @@ int main(int argc, char **argv) { printf("hello, world!\n"); + printf("sure am glad I'm using Mercurial!\n"); return 0; }
ในกรณีที่เราอยากยกเลิกสิ่งที่เราแก้ไขและเริ่มต้นใหม่เราสามารถใช้คำสั่ง revert เพื่อดึงไฟล์ hello.c ก่อนที่จะถูกแก้ไขกลับมาได้ (หรือจะใช้ตัวเลือก --all เพื่อดึงเวอร์ชั่นก่อนแก้ไขของทุกๆไฟล์กลับมา) เช็คให้แน่ใจก่อนล่ะว่านี่เป็นสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ (ดู Revert).
$ hg revert hello.c
คำสั่ง revert จะเปลี่ยนชื่อไฟล์ที่ถูกแก้ไขจาก hello.c เป็น hello.c.orig และกู้ไฟล์ hello.c เวอร์ชั่นก่อนที่จะถูกแก้ไขกลับมาแทน
และเมื่อเรายกเลิกการแก้ไขคำสั่ง status จะแสดงสถานะของไฟล์ hello.c.orig ว่าเป็นไฟล์ที่ไม่ถูกเก็บประวัติโดย Mercurial (โดยแสดงเครื่องหมาย "?" นำหน้าชื่อไฟล์)
$ hg st ? hello.c.orig
ถ้าเราเกิดเปลี่ยนใจและอยากใช้ไฟล์ที่เราเพิ่งแก้ไปก็แค่ลบไฟล์ hello.c ทิ้งและเปลี่ยนชื่อไฟล์ hello.c.orig เป็น hello.c เท่านี้ก็เรียบร้อย
$ rm hello.c $ mv hello.c.orig hello.c $ hg st M hello.c
การสร้างเซ็ตการแก้ไขมีชื่อเรียกอีกชื่อนึงว่าการคอมมิทเซ็ตการแก้ไขนั้น เราทำการคอมมิทโดยใช้คำสั่ง commit คำสั่ง commit นี้มีชื่อย่อว่า: ci ("check in"), เพราะฉะนั้นเราสามารถใช้คำสั่งแบบย่อนี้ได้:
$ hg ci
คำสั่งนี้จะเปิดโปรแกรม editor ขึ้นมาพร้อมกับบรรทัดแปลกๆสองสามบรรทัด
หมายเหตุ: โปรแกรม editor ที่ Mercurial ใช้โดยปกติคือ vi แต่เราสามารถเปลี่ยนค่านี้ได้ได้โดยตั้งค่าตัวแปร environment ที่ชื่อ EDITOR หรือ HGEDITOR
HG: Enter commit message. Lines beginning with 'HG:' are removed. HG: -- HG: user: mpm@selenic.com HG: branch 'default' HG: changed hello.c
บรรทัดแรกของ editor จะเป็นบรรทัดว่างๆ ไว้ให้เราใส่คำอธิบายของเซ็ตการแก้ไขนี้ ส่วนบรรทัดต่อๆไปก็จะบอกชื่อผู้ใช้ ชื่อกิ่งของไดเร็คทอรี่สำหรับใช้งาน และไฟล์ต่างๆที่จะถูกคอมมิทในไดเร็คทอรี่สำหรับใช้ทำงานนี้
ปกติชื่อของกิ่งคือ "default" (ดู NamedBranches) Mercurial เอาค่า "user" มาจากไฟล์ ~/.hgrc จากค่าของ "username" ในส่วน "ui" (ดู hgrc(5)) เราสามารถระบุชื่อผู้ใช้ได้เองโดยใช้ตัวเลือก -u (ดู hg help ci หรือ hg.1.html#commit)
เราจะต้องใส่คำอธิบายเพื่อที่จะคอมมิทเซ็ตการแก้ไขแต่ละเซ็ต (ดู ChangeSetComments) ลองพิมพ์อะไรประมาณนี้ดู:
Express great joy at existence of Mercurial HG: Enter commit message. Lines beginning with 'HG:' are removed. HG: -- HG: user: mpm@selenic.com HG: branch 'default' HG: changed hello.c
จากนั้นเราต้องบันทึกและปิดโปรแกรม editor ซะและถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีคำสั่ง commit จะจบการทำงานโดยไม่พิมพ์ผลลัพธ์ใดๆออกมา
ถ้าคุณออกจากโปรแกรม editor โดยที่ยังไม่ได้บันทึกหรือพิมพ์คำอธิบายใดๆ คำสั่ง commit จะยกเลิกการคอมมิท ทั้งนี้เพื่อให้คุณสามารถเปลี่ยนใจไม่คอมมิทการแก้ไขของคุณได้
ลองมาดูว่าหลังจากคอมมิทแล้วคำสั่ง status จะบอกอะไรกับเรานะ?
$ hg st
ไม่มีอะไรเลย! สิ่งที่เราแก้ไขได้ถูกคอมมิทเป็นเซ็ตการแก้ไขแล้วเพราะฉะนั้นจึงไม่มีไฟล์ใดๆที่ถูกแก้และยังไม่ได้ถูกคอมมิท นอกจากนั้นส่วนปลายของ repository ของเราก็ตรงกับไดเร็คทอรี่สำหรับใช้ทำงานแล้วด้วย
เรายังสามารถใช้คำสั่ง parents เพื่อดูว่าไดเร็คทอรี่สำหรับใช้ทำงานของเราก็ตรงกับเซ็ทการแก้ไขที่ถูกคอมมิทล่าสุดแล้วเช่นกัน (ลองดู Update ด้วย) (ในกรณีนี้เรามีบรรพบุรุษแค่อันเดียวซึ่งก็เป็นปกติหลังจากคอมมิท เราจะได้เห็นบรรพบุรุษสองอันในบทรวมประวัติการแก้ไขที่ขัดแย้งกัน):
$ hg par changeset: 2:86794f718fb1 tag: tip user: mpm@selenic.com date: Mon May 05 01:20:46 2008 +0200 summary: Express great joy at existence of Mercurial
โอเค! เราได้คอมมิทเซ็ตการแก้ไขใหม่เข้าไปใน repository เรียบร้อยแล้ว
ลองมาดูประวัติการแก้ไขของเรากัน:
$ hg log changeset: 2:86794f718fb1 tag: tip user: mpm@selenic.com date: Mon May 05 01:20:46 2008 +0200 summary: Express great joy at existence of Mercurial (...)
หมายเหตุ: ชื่อผู้ใช้, วันที่, และ รหัสประจำเซ็ตการแก้ไขอาจต่างไปในเครื่องของคุณ
จากที่เราได้เรียนในบท ทำสำเนา repository ที่มีอยู่ เราจะเห็นว่าเซ็ตการแก้ไขใหม่นี้จะอยู่แค่ใน repository นี้เท่านั้น จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญมากในการทำความเข้าใจการทำงานของ Mercurial
อ่านบทต่อไปได้เลยเพื่อ แบ่งปันสิ่งที่เราแก้ไขกับ repository อื่น